เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สั่งสอนใครนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นอยู่ ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากอยู่ ๖ ปีๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมาฉันอาหารของนางสุชาดา นี่ความเห็นผิดของปัญจวัคคีย์ทิ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แสดงธัมมจักฯ แสดงสัจธรรม สัจธรรมอันยิ่งใหญ่ สัจธรรมอันนี้แก้ไขกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของปัญจวัคคีย์ นั่นสิ่งที่แก้ไขกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มีพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ การเวียนว่ายตายในวัฏฏะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านย้อนอดีตชาติของท่านไป เป็นตั้งแต่พระเวสสันดรไป สิ่งที่เป็นพระเวสสันดรไป นั่นเป็นความรู้จริงเห็นจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าเป็นความรู้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สงสัยในตัวของท่านเอง
ท่านมาจากไหน เจ้าชายสิทธัตถะเกิดมาจากไหน เวลาเกิดมา จิตวิญญาณเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเกิดมาอย่างใด การเกิดมาโดยการสร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนั้น เราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ชาติสุดท้ายเวลาไปเกิดที่ลุมพินีวัน เราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทั้งๆ ที่ยังไม่ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้คืออำนาจวาสนาบารมีของเจ้าชายสิทธัตถะไง
เวลาเจ้าชายสิทธัตถะเวลารื้อค้นในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รื้อค้นเองๆ รื้อค้นอาสวักขยญาณ ชำระกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เวลารื้อค้นในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง การสิ้นกิเลสไปโดยสัจธรรม โดยสัจธรรม ไม่ลังเลสงสัย ไม่สงสัยในความเป็นจริง
การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ สอนถึงการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเป็นชาวพุทธ ถ้าชาวพุทธเราเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึกไง ถ้าแก้วสารพัดนึก เราเชื่อในสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาเราเกิด เราเกิดในวัฏฏะ เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดมาด้วยความลังเลสงสัย
เราเกิดด้วยความลังเลสงสัย ความลังเลสงสัยนั้นมันปิดหัวใจเราไง มันละล้าละลัง มันจะเชื่อก็ไม่กล้าเชื่อ ไอ้จะไม่เชื่อหรือมันก็ว่าวัฒนธรรมมันมีของมันอยู่ นี่มันเป็นความลังเลสงสัย นี่พูดถึงว่าความวิตกกังวลในหัวใจ
เวลาคนเกิดมานะ เวลาเราเกิดมา เกิดมาโดยอาการครบ ๓๒ นี่บุญพาเกิด เวลาคนเกิดมา เกิดมาด้วยการพิการ พิการทางกายและทางใจ อันนั้นพิการของเขา นั่นก็เป็นเรื่องเวรเรื่องกรรม ถ้าเรื่องเวรเรื่องกรรม แล้วเราก็ปัดทุกอย่างให้เวรให้กรรมไปทั้งหมดเลย เวรกรรมมันมีที่มาที่ไป กรรมเก่า กรรมใหม่ไง
กรรมเก่าคือพันธุกรรมของจิต คือเวรกรรมที่ได้ทำมา สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ ในเมื่อมันมีเหตุมีปัจจัย มันมีการกระทำไง ถ้ามีการกระทำนั้นมันต้องให้ผลของมันโดยสัจจะความเป็นจริงไง แล้วเราทำสิ่งใดมาล่ะ ทำสิ่งใดมานั่นเป็นกรรมเก่าไง แล้วกรรมใหม่ๆ กรรมใหม่ที่เกิดมาในชาติปัจจุบันนี้ เกิดมาด้วยอาการ ๓๒ เกิดมาด้วยบุญกุศล เกิดมาแล้วเราเสมอกันโดยความเป็นมนุษย์ไง
เวลาคนเกิดมา เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน เกิดมาด้วยพิการ เขาพิการทางร่างกายไง ทางร่างกายของเขา ร่างกายของเขามีการรักษาในปัจจุบัน ปัจจุบันทางการแพทย์เขาก็พยายามป้องกัน วันวาเลนไทน์เขาให้สารแร่ธาตุ เวลากินแล้วเวลาท้องแล้วลูกจะได้ไม่พิการ ลูกจะได้สมบูรณ์ๆ ทางการแพทย์เขาก็พยายามป้องกันของเขา เวลาเราเกิดมาแล้วมีความบกพร่องสิ่งใด เขาก็รักษาของเขา ดูแลขึ้นมาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ เพื่อความดีงามไง ความดีงามไง นี่พูดถึงทางการแพทย์ ทางโลก ทางวิทยาศาสตร์ไง
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาอบรมบ่มเพาะหัวใจของคนๆ ไง เราแก้ไขที่นี่ ถ้าจิตใจมันอ่อนแอ จิตใจอ่อนแอทำสิ่งใดเชื่อเขาไปหมดเลย จิตใจที่แข็งกระด้างเกินไปมันก็ไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุล ความพอดี ความพอดีของใคร ความพอดีของเด็กน้อย เด็กน้อย เราบ่มเพาะดูแลของเราเพื่อให้เป็นเด็กที่สมบูรณ์ที่ดีงาม แต่ถ้ามันโตขึ้นมา พอโตขึ้นมา เขาต้องมีหน้าที่รับผิดชอบของเขา
เวลาเราโตขึ้นมาเป็นผู้บริหาร เวลาเราโตขึ้นมาจนแก่จนเฒ่า เขาว่าผู้มีรัตตัญญู ผู้มีราตรี ผู้ผ่านราตรีมา ผู้ผ่านประสบการณ์มามาก เป็นที่พึ่งอาศัยนะ เราอยู่ทางภาคอีสานนะ ผู้เฒ่าผู้แก่ เขาเคารพบูชาของเขา เป็นผู้เฒ่าในหมู่บ้าน สิ่งใดมีการขัดแย้งกัน เขาให้ผู้เฒ่าเป็นผู้ตัดสิน ผู้เฒ่าเป็นผู้ตัดสิน เขาเคารพบูชากัน นี่ผู้รัตตัญญูไง
นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตของเรา เราผ่านของเรามา เรารัตตัญญูของเรา เรามีประสบการณ์ของเรา เวลาเรามีครอบครัวของเรา เราก็ต้องการปรารถนาคุณงามความดีทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้ามันมีสิ่งใด กรรมเก่า กรรมใหม่ กรรมเก่า อุบัติเหตุคือกรรม
เขาบอกมันไม่มีกรรมหรอก มันเป็นอุบัติเหตุ มันเป็นการกระทบกระทั่งกัน
แล้วทำไมต้องไปเจอคนนั้นล่ะ มันต้องมีที่มาที่ไปทั้งนั้นน่ะ คำว่า มีที่มาที่ไป อันนี้เรารู้ไม่ได้ไง แต่อนาคตังสญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เล็งญาณๆ เวลาเล็งญาณขึ้นมา จะเอาใครก่อนๆ จะเอาหัวใจของเขา ไม่เอาร่างกายของเขา ไม่เอาสถานะทางเศรษฐกิจของเขา ไม่เอาเรื่องของเขา เอาหัวใจของเขา หัวใจที่ผ่องแผ้ว หัวใจที่ควรแก่การงานน่ะ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการอนุปุพพิกถา พูดถึงเรื่องของทาน เรื่องของการเสียสละ เรื่องของเนกขัมมะ สุดท้ายแล้วให้ประพฤติปฏิบัตินะ ท่านดูหัวใจของคนก่อน หัวใจของคนที่มันพอรับได้ ท่านถึงเทศน์อริยสัจไง
แต่นี้ของเรา เราเกิดมา เวลาว่าผลของวัฏฏะๆ ก็อ้างอิงว่านรกสวรรค์ขึ้นมา เขาบอกว่าเขียนเสือให้วัวกลัว ไอ้ผู้ที่โมฆบุรุษไปหาผลประโยชน์อย่างนั้นมันก็เอาสิ่งนั้นไปอ้างอิง แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นจริงๆ ท่านเก็บไว้ในใจทั้งนั้นน่ะ
เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนะ เวลาท่านรู้ของท่าน เวลาท่านภาวนาของท่าน แล้วมันมีพวกจิตวิญญาณบอกให้ไปบอกพ่อแม่ของเขาด้วย ให้ญาติของตนด้วยว่าให้ทำบุญกุศลเพื่อตัวเองด้วย เพราะตัวเองไม่ได้ทำสิ่งใดมา เพราะภพชาติอย่างนั้นมันไปคาอยู่อย่างนั้นไง
เวลาหลวงปู่มั่นท่านออกจากการภาวนาของท่าน ท่านก็ไปสอบถามชาวบ้านว่าเคยมีตระกูลนี้ไหม เคยมีพวกชื่อเสียงเรียงนามอย่างนี้มีหรือไม่ในหมู่บ้านนั้น
โอ้โฮ! มันมีมาตั้งแต่ ๑๐๐ ปีที่แล้ว ๒๐๐ ร้อยปีที่แล้วนู่นน่ะ
เวลาไปแล้วกาลเวลามันแตกต่างกันไง เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงท่านก็มาสืบค้นว่าเป็นจริงหรือไม่ เพราะอะไร เพราะด้วยความเมตตาไง เพราะด้วยความเมตตาของท่าน เขาขอร้องมา เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ ท่านเก็บไว้ในใจของท่าน
ผลของวัฏฏะ มันเป็นเวรเป็นกรรมของเขาทั้งนั้นน่ะ เวรกรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ เวลาปางห้ามญาติ ปางห้ามญาติ เวลาญาติพี่น้องแย่งน้ำทำนาต่อกัน ท่านไปห้ามครั้งที่ ๑ น้ำกับชีวิต อันไหนมีคุณค่ากว่ากัน
ชีวิตนี้มีคุณค่ากว่าทุกๆ อย่างอยู่แล้ว แต่ชีวิตนี้ก็ต้องการอาหารทั้งนั้นน่ะ
ไปห้ามครั้งที่ ๑ ห้ามครั้งที่ ๒ พอครั้งที่ ๓ สุดท้ายแล้วก็รบราฆ่าฟันกันเพื่อการแย่งน้ำทำนาน่ะ นี่ไง เวลากรรมมันให้ผลๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พยายามแล้วนะ กรรมใหม่ๆ กรรมปัจจุบันนี้ถ้าเขามีสติปัญญาของเขา เขาพยายามดูแลรักษาของเขา เขาก็ไม่ทำเกิดศึกสงครามขึ้นมา แต่ถึงเวลาแล้วมันมีความจำเป็น ความจำเป็นในปัจจุบันนี้ไง กรรมใหม่ๆ ไง กรรมใหม่คือหน้าตาสมัยปัจจุบันนี้ คือความเป็นของเรา เราลดเราละไม่ได้ หน้าใหญ่ใจโต
หลวงตาถึงได้สอนไง ชิงดีชิงชั่ว มันก็ชิงดีชิงเด่น ชิงดีชิงชั่วทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันไม่ชิง ไม่ชิงก็มีปัญญานี่ไง
ถ้าคนที่มีปัญญา สิ่งที่เราทำแล้วเราไม่เปิดศึกกับใครทั้งสิ้น มันมีสติปัญญาแก้ไข แก้ไขความขัดแย้ง แก้ไขสิ่งต่างๆ มันต้องแก้ไข คนเราเกิดมามันมีปัญหาทั้งนั้นน่ะ ปัญหาเขามีไว้ให้แก้ไข แต่แก้ไขด้วยมีสติปัญญานะ ถ้าเราขาดสติมาแล้วเราเกิดความโกรธ เราเกิดการกระทำที่รุนแรงไป แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา มันต้องมีการแก้ไข ถ้าการแก้ไข
สิ่งที่เราจะเอาแบบใจเรา มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะสิทธิของเขา เขามีสิทธิ สิทธิของคนมันมีทั้งนั้นน่ะ แล้วสิทธิของคนมี คนที่จิตใจต่ำต้อย จิตใจของเขาโดนกิเลสครอบงำ เขาจะเอารัดเอาเปรียบ เขาจะคิดว่าของเขาทั้งนั้นๆ แล้วเรา ถ้าเป็นสิทธิ์ของเรา เราก็แก้ไขของเรา มันต้องมีการกระทำก่อนไง ธรรมของผู้บริหาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
เวลาถึงเวลาเมตตา กรุณา มุทิตา เรามีพร้อมทั้งนั้นน่ะ เราทำของเราด้วยสติด้วยปัญญา ถึงที่สุดแล้วอุเบกขา ถ้าไม่อุเบกขามันเป็นไปไม่ได้ มันจบไม่ได้ ถ้ามันจบไม่ได้ ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราใช้ได้ของเราเป็นประโยชน์กับเรา
นี่พูดถึงว่า ในวัฏสงสารที่การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่มันจะต้องไปประสบพบเห็นในชีวิตความเป็นจริง ถ้าชีวิตความเป็นจริง สิ่งนี้เป็นการพิสูจน์แล้ว พิสูจน์หัวใจของคน ถ้าหัวใจของคนขึ้นมา ดูผู้ที่เสียสละๆ ดูสิ พระโพธิสัตว์ๆ ท่านเสียสละทั้งชีวิตของท่าน ท่านเสียสละทั้งหมด ทำไมท่านถึงเสียสละของท่านได้ล่ะ ท่านเสียสละของท่านก็เพราะการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเป็นความทุกข์ความยากอย่างนั้น ชาติปิ ทุกฺขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การเกิด ชาติปิ ทุกฺขา การเกิดภพชาติขึ้นมา เพราะมีเราขึ้นมาต้องรับผิดชอบทั้งนั้นน่ะ
สิ่งใดก็แล้วแต่ที่เราแสวงหามา แสวงหามาก็แสวงหามาเพื่อดำรงชีพ แล้วดำรงชีพ ผลของวัฏฏะคือการเกิดมาในภพชาตินี้ แล้วมันจบไหมล่ะ มันไม่จบ ถ้ามันไม่จบ เราจะทำอย่างไร เพิ่มพูนอำนาจวาสนาบารมีของเรา ถ้าเพิ่มพูนอำนาจวาสนาบารมีของเรา เราเสียสละของเราเพื่อประโยชน์กับหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้ไง เพราะอย่างไรมันถึงที่สุด สัจจะความจริง ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด สัจจะความจริงคือต้องตายทั้งนั้นน่ะ แล้วตายไปแล้ว เวลาเรามีชีวิตอยู่เราก็เห็นได้ๆ คนที่เขาอุดมสมบูรณ์ของเขา คนที่ขาดแคลนของเขา แล้วเราล่ะ เราก็อุดมสมบูรณ์ เราก็ขาดแคลนบ้าง อุดมสมบูรณ์บ้าง ครึ่งๆ กลางๆ ความครึ่งๆ กลางๆ เราทำอย่างไร นี่เป็นผลของวัตถุนะ
แล้วถ้าผลของหัวใจๆ ใจที่เข้มแข็งขึ้นมา มันมีสิ่งใดที่กระทบกระเทือนขึ้นมามันก็มีหลักเกณฑ์ของมัน นี่พูดถึงเวลามีสิ่งใดกระทบกระเทือนในหัวใจ นี่อริยสัจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้วทั้งนั้นน่ะ บอกไว้แล้วมีสติปัญญาหรือไม่
ถ้าบอกไว้แล้วมีสติปัญญา สัจธรรม ธรรมโอสถชโลมหัวใจแล้ว เฮ้อ! ชโลมหัวใจนี้มันผ่องแผ้ว มันปล่อยวางได้ไง แต่ถ้ามันไม่มีธรรมะชโลมหัวใจเลย โอ๋ย! มันมีแต่ไฟนะ ไฟลุกขึ้น แล้วก็ไฟโถมเข้าไป แล้วก็เอาไฟเผาเข้าไป มันก็มีแต่ไฟกับไฟ แล้วอะไรมันจะบรรเทาได้ล่ะ
แต่ถ้ามีสติปัญญา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น้ำดับไฟๆ มันก็เบาบางลงๆๆ นี่พูดถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจธรรม ธรรมะเป็นธรรมชาติ สิ่งที่มีอยู่ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ไง แล้วถ้าเรากระทำของเราเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก
ถ้าเป็นสันทิฏฐิโก การกระทำของเรา เวลามันทุกข์ มันทุกข์มาจากไหน เวลามันเกิด มันเกิดมาจากไหน ใครทำให้มันเกิดล่ะ ในพันธุกรรมๆ เราก็เกิดจากพ่อจากแม่ทั้งนั้นน่ะ เวลาเกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่ก็ต้องการมีชาติมีตระกูล ต้องการมีทายาททั้งนั้นน่ะ เพื่อความมั่นคงของชาติตระกูล นี้มันเป็นเรื่องของวัฏฏะ เรื่องของโลก กรรมของเราๆ ที่ยังจิตปฏิสนธิจิตที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีของมันอยู่ ก็ต้องมาเกิดๆ แล้วมันจบที่ไหน มันจบที่ไหนล่ะ
ถ้ามันจะจบ ถ้าเรามีสติมีปัญญา ในทางร่างกาย หมอก็ต้องรักษาให้การสาธารณสุขเป็นผู้ดูแล หัวใจของเราๆ ธรรมะสัจจะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาวัดมาวาฟังธรรมๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อให้ได้สติปัญญาขึ้นมาไง แต่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมาแล้ว เราจะกล่อมเกลาของเรา เราจะขัดเกลาหัวใจของเรา
ดูพระเราสิ ธุดงควัตรๆ มันเป็นประเพณีของพระอริยเจ้า มันไปขัดเกลากิเลสๆ มันไม่ได้แก้กิเลส ยังไม่ได้แก้กิเลสเลย มันไปขัดเกลา เห็นไหม แค่ถือธุดงควัตร ผ้า ๓ ผืน ฉันมื้อเดียว อาสนะเดียวต่างๆ เพื่อไม่ให้มันมากเกินไป ขีดเส้นมันไว้ไม่ให้กิเลสมันกระโดดโลดเต้น ไม่ให้มันคึกคะนองจนเกินไป นี่เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส มันไม่อิสรภาพหรอก เสร็จแล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาต้องมีสติ เวลาฝึกหัดขึ้นมา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทำความสงบของใจเข้ามา นี่ปฏิสนธิจิตๆ ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันอยู่ที่ไหนๆ เราจะค้นคว้า สิ่งที่เราทำมาๆ ผลของวัฏฏะ ผลของเวรของกรรมทั้งนั้นน่ะ แต่การกระทำๆ เวลาการกระทำต้องทำเป็นจริงในใจเราขึ้นมาไง ถ้าใจเราขึ้นมา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ อานนท์ เธอบอกบริษัท ๔ นะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย
แต่ในเมื่อเรายังปัญญาด้อยอยู่ เราจะหวังพึ่งบุญกุศลของเรา เราก็ทำบุญทำทานของเรา แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามาก การปฏิบัติบูชา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ การปฏิบัติบูชา ถ้าใครทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบเข้ามาไปสู่ปฏิสนธิจิตไง ไปสู่สัมมาสมาธิไง ไปสู่ผู้รู้ที่แท้จริงไง ผู้รู้ที่แท้จริงคือพุทธะไง เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปทักไปทายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางหัวใจเราเลย ถ้าจิตสงบระงับเข้ามา นั่น! การกระทำ ดูสิ ที่เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเคารพอย่างนี้
แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ธรรมและวินัย วัฒนธรรมมันขัดเกลากิเลสเรา มันกล่อมเกลา แต่เราปฏิบัติจริงๆ ขึ้นมา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่โคนต้นโพธิ์อยู่พระองค์เดียว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็อยู่ในป่าในเขาของท่าน ท่านก็นั่งอยู่โคนไม้ขึ้นมา ท่านก็บรรลุธรรมของท่านขึ้นมา ของเรา ถ้าเราเป็นความจริงขึ้นมา เราจะแก้ไขของเรา
สิ่งที่เราเกิดมาๆ พ่อแม่บำรุงรักษามานะ พ่อแม่ให้ข้าวให้น้ำมานะ พ่อแม่ให้มีการศึกษามานะ แต่หัวใจของเรา ร่มโพธิ์ร่มไทรของเรา เรามีพุทธะในหัวใจ ใครเป็นผู้บำรุงรักษา ถ้าบำรุงรักษาขึ้นมา มีสติมีปัญญาขึ้นมา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันสงบเข้าไป มันมีความสงบระงับ อู้ฮู! มันมหัศจรรย์ๆ ถ้าเป็นความจริงนะ ถ้าไม่เป็นความจริง มันไม่มีสิ่งใดยืนยันกับใจ ว่างๆ ว่างๆ ก็คำว่า ว่าง ไว้ก่อน อะไรก็ว่างๆ ขึ้นมา ปลอดโปร่งหมด ดีไปหมดล่ะ มันเป็นหัวตอก็ได้ สมาธิหัวตอน่ะ หัวตอคือมันไม่รู้เหนือรู้ใต้แล้วให้เขาชักจูงไง
ถ้ามีสัมมาสมาธิขึ้นมา มีสติขึ้นมา ใครจะมาชักจูง ชีวิตเราต้องให้ใครชักจูง ชักจูงไปส่งออกหมด ชักจูงไปที่อื่น ทำไมเราไม่เข้าสู่อริยทรัพย์ สู่สัจจะความจริงของเรา ทำไมต้องให้คนชักจูง ทำไมไม่เกิดเป็นมรรคเป็นผลของเรา ทำไมไม่แก้กิเลสของเรา ทำไมไม่แก้ที่หัวใจของเรา ถ้ามันแก้ที่หัวใจของเรา เวลาสัมมาสมาธิขึ้นมามันน้อมไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง มันมหัศจรรย์ๆ มันเกิดมรรค เกิดมรรค หมายถึงว่า เกิดปัญญา เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมาในหัวใจ
นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่โคนต้นโพธิ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ครูบาอาจารย์ของเราท่านค้นคว้าของท่าน ท่านปฏิบัติของท่าน ท่านเข้าป่าเข้าเขาไปเพราะต้องการเวลา ต้องการสถานที่ ต้องการสภาวะแวดล้อมที่ดีเพื่อค้นคว้าหาสัจจะความจริง ของเรา เราทำของเรา เราพยายามปฏิบัติของเรา ของเราทำของเราขึ้นมา
เราเกิดมาด้วยความครบบริบูรณ์ มีอวัยวะ ๓๒ ครบบริบูรณ์ นี่เป็นบุญกุศล แล้วหัวใจๆ ที่มันไม่เข้มแข็ง มันไม่มีสติปัญญารักษา เราฝึกหัดๆ เวลาฝึกหัดขึ้นไป เราเข้าไปเผชิญเอง เราไปรักษาเอง เราไปดูแลเอง เราเป็นคนทำเอง
เวลาความสุข เราก็อยากปรารถนาความสุข แล้วเวลาความจริงขึ้นมา เวลาความสุข ความสุขแท้ ความสุขเกิดวิมุตติสุข สุขที่ไม่มีกิเลส สุขที่ไม่มีอะไรมาเจือจาน สุขที่ไม่มีอะไรสิ่งใดมาขัดมาแย้งได้ สุขที่ไม่มีใครมาต้มตุ๋น ที่ไม่มีใครมาพลิกแพลงได้แน่นอนเลย แล้วมันวิมุตติสุข เหนือโลกเหนือสงสาร แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ มันอยู่ในใจของเรานะ พระพุทธศาสนามีอยู่อย่างนี้จริงๆ
ฉะนั้นบอกว่า ผลของเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผลของนรกสวรรค์ขึ้นมาก็เขียนเสือให้วัวกลัว แต่เวลาเป็นจริงขึ้นมามันจะรู้ของมัน ถ้าไม่รู้ของมัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่พระเวสสันดรไป รู้ได้อย่างไร มันต้องมีที่มาที่ไปสิ ทำไมคนมันคิดแตกต่างกันล่ะ ทำไมคนคิดไม่เหมือนกันล่ะ ทำไมคนมีจุดยืนแตกต่างกันล่ะ เป็นพี่เป็นน้องกันมันก็คิดเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ มันมาจากไหนล่ะ แล้วเวลาคนกระทำๆ ที่มันเป็นจริงขึ้นมามันมาจากไหนล่ะ มันมาจากไหน มันมาจากไหน
ตู้พระไตรปิฎกนั่นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เรารื้อค้นเป็นแนวทาง เวลาปฏิบัติขึ้นมามันกังวานกลางหัวใจนะ กลางหัวใจนี้ มันสว่างโพลงกลางหัวใจนี้ สิ่งใดที่มันสงสัย สิ่งใดที่มันขัดแย้งอยู่นี่ สิ่งใดที่มันหมักหมมอยู่นี่ มันสำรอกมันคายหมด แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ
เราบอกเราไม่มีวาสนา เราเป็นคนวาสนาน้อย
ถ้าวาสนาน้อย เราไม่มาวัดมาวาหรอก คนที่มาวัดมาวาขวนขวายอยู่แล้ว แล้วคนที่ฝึกหัดๆ ขึ้นมา เราลงทุนลงแรงเพื่อบุญกุศล แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมาเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์น่ะ ให้เขาปฏิบัติบูชาเราเถิด
การปฏิบัติบูชานั้นจะได้ไปสัมผัสธรรม การปฏิบัติบูชานั้นจะได้สัจจะความจริง แล้วได้สัจจะความจริง คนที่มีความจริงแล้วเขาจะไปเชื่อคนโกหกมดเท็จไหม คนที่มีความจริงแล้วเขาจะเชื่อข่าวลือไหม คนที่มีความจริงในใจเขาจะเชื่ออะไรล่ะ เขาก็เชื่อความจริงในใจของเขาไง เราถึงพยายามขวนขวาย พยายามตรวจสอบให้มันเกิดขึ้นมาในใจของเราเพื่อเป็นพยานกับเราเอง เป็นพยานกับตนเองนะ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงยกให้ไง ยกให้เป็นสันทิฏฐิโก ความรู้จริงเห็นจริง ความรู้ในใจอันนั้นจะเป็นสมบัติจริง
แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงว่าไม่ต้องมีใครไปดูแล ไม่ต้องให้ใครปกป้อง มันเป็นความจริงของมัน แต่เป็นที่ว่าเราเป็นคนอาภัพวาสนา เรายังไม่มีคุณสมบัติอย่างนั้น ถ้ามันเป็นคุณสมบัติอย่างนั้นขึ้นมาในใจของเรา นั่นล่ะมันกังวานอยู่กลางหัวใจดวงนั้น เอวัง